นกกระเรียนพันธุ์ไทยของเด็กหญิงเด็กชายบุรีรัมย์

ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ความหวัง และการมีอายุยืนยาว คนญี่ปุ่นโบราณเชื่อว่านกกระเรียนเป็นนกศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถมีชีวิตได้ถึงพันปี ถ้าสามารถพับนกกระเรียนกระดาษได้ 1,000 ตัว จะทำให้บรรลุความปรารถนาที่หวังได้

เด็กหญิงซาซากิ ซาดาโกะ อาศัยอยู่ในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่นเธอต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยจากพิษร้ายของสงครามนิวเคลียร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2เธอจึงตั้งใจจะพับนกกระเรียนให้ครบ 1,000 ตัวด้วยความหวังว่าตัวเองจะหายจากโรคร้าย

แต่ความหวังของเธอก็โบกบินหายไปเมื่อเธอเสียชีวิตและพับนกได้ 664 ตัว เพื่อนๆร่วมชั้นเรียนจึงช่วยกันพับให้ได้ครบพันตัวแล้วใส่ในโลงศพของเธอ  ตำนานการพับนกของเด็กหญิงตัวเล็กทำให้นกกระเรียนกลายเป็นสัญลักษณ์แทนสันติภาพและมิตรภาพของมวลมนุษย์

10
08
05

ในประเทศไทยเอง ก็มีเรื่องราวของนกกระเรียนที่ใครหลายคนอาจไม่เคยรู้…

“แกร๋ ๆ แกร๋ๆ” เสียงร้องของนกน้ำขนาดใหญ่ขานรับกันไปมาในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มากต.สะแกโพรง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์พื้นที่ชุ่มน้ำเนื้อที่กว่า 3 พันไร่ แหล่งที่อยู่ แหล่งอาหารของนกกระเรียนพันธุ์ไทยนับร้อย สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และสายใยความเชื่อมโยงระหว่าง นก คน และระบบนิเวศ

“ช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ถ้าโชคดี ก็จะได้เห็นนกกระเรียนค่ะ หนูเคยเห็นนกกระเรียน กำลังหาอาหาร กางปีก บางครั้งนกกระเรียนก็เต้นด้วยค่ะเนย เด็กหญิงจารุวรรณ โปสี บอกเล่าถึงถ่วงท่านกกระเรียนด้วยน้ำเสียงร่าเริง

02
04
07

เด็กชายโฟร์ปณารินทร์ อาภรรัมย์ ช่วยเพื่อนเล่าเสริม“เราจะเห็นนกกระเรียนเป็นคู่ครับ ส่วนมากจะเห็น 2 ตัวขึ้นไป สูงประมาณ 150 – 180 เซนติเมตร หัวสีแดง ตัวสีเทา ร้องเสียงแหลมๆ เวลาได้เห็นนกกระเรียนก็ดีใจครับ เพราะนกกระเรียนเคยสูญพันธุ์ไปแล้ว”

น้องเนย น้องโฟร์นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองมะเขือต.สะแกโพรง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ไม่ไกลกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มากนับเป็นเรื่องดีของเด็กๆ ที่ได้มีโอกาส สามารถมาเฝ้ามอง ส่องหา และทำความรู้จักนกกระเรียนพันธุ์ไทยตำนานที่หวนคืนถิ่น กลับมาโบยบินสู่ธรรมชาติอีกครั้ง

ปี 2475 ปรากฏหลักฐานภาพถ่ายครอบครัวครูคุ้ม เอี่ยมศิริ ชาวบ้านอ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วยนกกระเรียนที่เลี้ยงไว้ เป็นหลักฐานสำคัญว่าเคยมีนกระเรียนอยู่มากมายในจ.บุรีรัมย์  แต่ก็ประสบปัญหานกกระเรียนค่อยๆลดจำนวนลงและสูญหายไปในที่สุด

และในปี 2532 สวนสัตว์นครราชสีมาได้รับบริจาคนกกระเรียนจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เขตพื้นที่สุรินทร์-บุรีรัมย์ประมาณ 20 ตัว การอนุรักษ์นกกระเรียนจึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยประสบผลสำเร็จ

แต่อย่างไรก็ตาม นกกระเรียนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในกรงได้ตลอดไปจึงเป็นที่มาของ “โครงการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยกลับคืนสู่ธรรมชาติ” เริ่มต้นเมื่อปี 2551 และเลือกพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มากและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน จ.บุรีรัมย์ เป็นพื้นที่นำร่องในการทดลองปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติ

“เราเริ่มปล่อยนกกระเรียนตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน มี 118 ตัว นกกระเรียนมักมาอาศัยที่อ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มากมากที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สมบูรณ์มาก มีสัตว์น้ำ แมลง นก และพืชต่าง ๆ ปลาตัวเล็กกินพืชน้ำ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นกก็มากินปลา เกิดห่วงโซ่อาหาร พื้นที่ชุ่มน้ำจึงถือเป็นแหล่งที่อาศัยและแหล่งอาหารสำหรับนกกระเรียนได้ตลอดทั้งปี”

‘เติ้ล’ หรือ ณัฐวัฒน์ แปวกระโทกเจ้าหน้าที่องค์การสวนสัตว์ ผู้รับผิดชอบศูนย์เรียนรู้การอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนกกระเรียนพันธุ์ไทย บอกเล่าแก่เด็กๆ ช่างสงสัยที่คณะครูโรงเรียนบ้านหนองมะเขือ พามาทำกิจกรรมดูนกกระเรียนเป็นประจำทุกวันพุธ

“นกกระเรียน เคยสูญพันธุ์ไปแล้ว ตอนนี้กลับมาอยู่ในธรรมชาติบ้านเรา ต้องช่วยกันรักษาไม่ให้นกกระเรียนสูญพันธุ์ไปอีกค่ะ อย่างการทำนาอินทรีย์ สารเคมีจะไม่กระจายไปสู่นกกระเรียน”น้องเนยกล่าวทิ้งท้าย

นกกระเรียนพันธุ์ไทยไม่เพียงแต่ได้รับการอนุรักษ์เท่านั้น ขณะเดียวกันก็ยังมอบความสุข และบทเรียนแสนสนุกให้กับเด็กๆ ในชุมชน อีกทั้งยังช่วยให้ชาวบ้านได้ทานอาหารปลอดภัยและมีรายได้จากความตั้งใจดีที่ร่วมกันทำ เด็กๆ ลูกหลานก็ได้ซึมซับถึงความรักและหวงแหนใช้ชีวิตอย่างเคารพ กับธรรมชาติ

ติดตามเรื่องราวของเด็กบุรีรัมย์ กับการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย ในทุ่งแสงตะวัน ตอน การกลับมาของนกกระเรียนออกอากาศในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ เวลา 05.05 น. ทางช่อง 3 กด 33 และติดตามข่าวสารรายการได้ทาง Facebook ทุ่งแสงตะวัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *